โครงการออแพร์ (Au Pair) เป็นโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมรูปแบบหนึ่งที่อยู่ภายใต้การรับรองและอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลต่างประเทศ เปิดโอกาสให้วัยรุ่นอายุ 18-30 ปี สมัครไปทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็ก และพักอาศัยร่วมกับครอบครัวอุปถัมภ์ หรือเรียกสั้นๆ ว่า “โฮสต์” ซึ่งมาจาก “โฮสต์แฟมิลี่” (Host Family) เป็นระยะเวลา 1-2 ปี
หน้าที่ของออแพร์โดยภาพรวมก็ไม่หนีไปจากงานพี่เลี้ยงเด็กที่เรารู้จัก ไล่มาตั้งแต่ปลุกน้องตอนเช้า พาน้องอาบน้ำ เตรียมอาหาร พาน้องไปโรงเรียน เก็บกวาดบ้านให้เรียบร้อย ฯลฯ ในรายละเอียดปลีกย่อยก็แล้วแต่จะตกลงกัน สิ่งที่ออแพร์จะได้คือ เงินเดือนที่ไม่เยอะมาก บางประเทศกำหนดเงินเดือนออแพร์น้อยกว่าเงินเดือนขั้นต่ำของไทยเสียอีก
อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขของโครงการนี้นับว่าค่อนข้างเป็นมิตรต่อคนอายุน้อย หรือ ‘เด็กจบใหม่’ ที่อยากหาลู่ทางไปอยู่ต่างประเทศในราคาถูก เนื่องจากการขอวีซ่าไปออแพร์ ส่วนมากไม่ต้องแสดงหลักฐานทางการเงินเหมือนอย่างกรณีอื่นๆ การสมัครผ่านเอเจนซี่ใช้เงินเพียงไม่กี่หมื่นบาท ถ้าสมัครเองก็ประหยัดในส่วนนี้ไป บางคนถึงกับเล่าว่ากรณีของตัวเอง “จ่ายแค่ 5,000 ก็ไปยุโรปได้” เพราะว่าพวกค่าตั๋วเครื่องบินโฮสต์เป็นคนจ่ายให้ จากความยืดหยุ่นที่กล่าวมานี้ ทำให้ออแพร์กลายเป็นเส้นทางที่คนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งใช้เป็นใบเบิกทางย้ายประเทศ
อย่างไรก็ตาม โครงการออแพร์ถูกวิจารณ์อยู่เนืองๆ ว่า มีช่องโหว่ที่ทำให้โฮสต์ใช้งานออแพร์เกินเรื่องเกินราวจนกลายเป็นการเอารัดเอาเปรียบ เมื่อปี 2566 รัฐบาลนอร์เวย์ประกาศยกเลิกโครงการออแพร์ หลังจากเกิดข้อถกเถียงในสังคมมาหลายปี
ในปี 2559 สำนักข่าวแรปเลอร์ (Rappler) ปล่อยงานสืบสวนตีแผ่ชีวิตออแพร์ชาวฟิลิปปินส์ในเดนมาร์กว่าพวกเธอถูกเอารัดเอาเปรียบจากโครงการนี้อย่างไร
ตามข้อมูลจากองค์กรFOA ซึ่งเป็นองค์กรดูแลออแพร์ในเดนมาร์กระบุว่า เดนมาร์กมีออแพร์จากฟิลิปปินส์มากที่สุด รองลงมาคือไทย ต่อมาคือประเทศอื่นๆ ในแอฟริกา
สำหรับสังคมไทย ออแพร์ไม่เป็นที่รู้จักมากนักเหมือนกับอาชีพอื่นๆ ในต่างแดน ชนิดที่คนในสหภาพแรงงานยังไม่รู้จัก เหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าโครงการนี้ไม่ใช่โครงการจัดหางานที่เป็นกิจลักษณะ คนไทยบางส่วนก็มีมุมมองต่อออแพร์ว่าเป็นการ “ไปหาประสบการณ์” มากกว่าจะเป็นอาชีพที่จริงจัง
จากการสังเกตของผู้สื่อข่าวประชาไทพบว่า ออแพร์ไทยในต่างแดนมักทำคอนเทนต์แชร์ประสบการณ์ทางโซเชียลมีเดีย ชี้แนะช่องทาง นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเฟซบุ๊กที่ใช้พูดคุยสอบถามกัน ตั้งแต่ขั้นตอนการทำสัญญางานกับโฮสต์ การทำงานล่วงเวลา การทำวีซ่า หาเพื่อนที่อยู่เมืองเดียวกัน หาออแพร์ใหม่ให้โฮสต์ การยื่นภาษี ไปจนถึงการขอความช่วยเหลือในกรณีที่มีปัญหากับโฮสต์จนต้องออกจากบ้าน การเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับออแพร์จึงมีลักษณะเป็นไม่เป็นทางการ อาศัยเครือข่ายทางสังคมที่พบเจอในโลกออนไลน์
เมื่อเห็นว่าประเทศสวีเดนมีข้อกำหนดที่ยืดหยุ่นต่อออแพร์มากที่สุด ผู้สื่อข่าวจึงติดต่อพูดคุยกับอดีตออแพร์สวีเดน เพื่อค้นหาว่าการทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กในประเทศที่คนไทยมักมองว่าเป็นประเทศ ‘รัฐสวัสดิการต้นแบบ’ นั้นเป็นอย่างไร มีอะไรบ้างที่เราควรต้องรู้เพื่อเตรียมตัวเตรียมใจ สถานการณ์แบบไหนที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงข้อเสนอแนะในการคุ้มครองออแพร์ นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวยังได้พูดคุยกับตัวแทนจากเอเจนซีออแพร์แห่งหนึ่งด้วย
จากอดีตออแพร์ สู่คุณแม่ลูกสองที่รับออแพร์ไทย
เมื่อเทียบกับประเทศยุโรปอื่นใด สวีเดนดูจะเป็นประเทศที่มีข้อกำหนดยืดหยุ่นมากที่สุดและกลายเป็นจุดหมายปลายทางของใครหลายคนที่อาจตกเกณฑ์ของประเทศอื่น ด้วยปัจจัยดังต่อไปนี้
หนึ่ง – เพดานอายุที่สูงกว่าประเทศอื่น
สอง – ออแพร์สามารถสมัครไปด้วยตนเองได้
สาม – ไม่ได้ระบุว่าออแพร์ต้องมีทักษะภาษาสวีดิชมาก่อน ขณะที่ประเทศที่ใช้ภาษาที่สามอย่างฝรั่งเศสและเยอรมนีกำหนดว่าผู้สมัครต้องมีความรู้ภาษาในระดับพื้นฐาน
สี่ – ตอนขอวีซ่า สวีเดนขอเอกสารน้อยกว่าประเทศอื่น
นี่คือคำบอกเล่าจากประสบการณ์ของ “นุ่น” อดีตออแพร์ไทยที่เป็นยูทูบเบอร์และเจ้าของเฟซบุ๊กเพจ “นุ่นนี่สวีเดน” ในระหว่างการพูดคุย เธออธิบายภาพรวมและแจงแจงรายละเอียดให้เราเข้าใจแบบเดียวกับที่เธอทำคอนเทนต์ในยูทูบ
“ไปประเทศไหนขึ้นอยู่กับอายุของเรา”
ย้อนไปเมื่อปี 2562 นุ่นในวัย 28 ปี สมัครเป็นออแพร์ประเทศสวีเดน เพราะมันเป็นที่เดียวที่เธอสมัครได้ การตัดสินใจครั้งนั้นนำพาให้เธอได้เหยียบแผ่นดินยุโรปเป็นครั้งแรก
การไม่มีความรู้ภาษาสวีดิชไม่ได้ทำให้นุ่นกังวล ตอนนั้นคิดแค่ว่าใจสู้ ขอแค่ได้ไปก็พอ อีกทั้งการเคยเข้าร่วมโครงการทำงานและท่องเที่ยว (Work and Travel) ที่สหรัฐอเมริกามาแล้วก็ทำให้นุ่นรู้ว่าตัวเองสนุกกับการใช้ชีวิตต่างประเทศ
นุ่นเลือกใช้บริการเอเจนซีแห่งหนึ่งให้ดำเนินการให้ เนื่องจากขณะนั้นเธอทำงานประจำและไม่สะดวกที่จะจัดการเอกสารด้วยตัวเอง
“การมีเอเจนต์ช่วยเรื่องเอกสาร หาโฮสต์ง่ายขึ้น แต่ที่เหลือเราต้องสู้เอง”
หลังจากที่คุยกับเอเจนซีเพียง 2 เดือน นุ่นหาโฮสต์แฟมิลี่ได้ แต่การมีเอเจนซีคอยดูแลไม่ได้แปลว่าเราสามารถวางใจได้ว่าทุกอย่างจะราบรื่น
“เอเจนต์บอกว่า ทำงาน 1 ปี ได้ฮอลิเดย์ 2 วีค แต่จริงๆ คนทำงาน 1 ปีที่สวีเดน สามารถถึง 5 วีค”
“ก่อนที่จะทำวีซ่า จะมีสัญญางาน (มาให้ออแพร์เซ็น) ซึ่งค่อนข้างหลวม ควรรัดกุมกว่านี้ เช่น วันหยุดนักขัตฤกษ์ ทำงานกี่ชั่วโมงต่อวีค และวันหยุดกี่วันต่ออาทิตย์”
นุ่นอยู่กับโฮสต์แฟมิลี่บ้านนี้เป็นระยะเวลา 9 เดือน อีกไม่กี่เดือนก็จะจบโครงการตามแพลนเธอวางไว้ ทว่าเกิดการระบาดของโควิด-19 ขึ้นมา นั่นทำให้การเป็นออแพร์ของเธอต้องหยุดลง
“9 เดือนที่อยู่กับเขา (โฮสต์) เลี้ยงเด็กและทำงานบ้านของทั้งบ้าน เรื่องงานบ้าน แต่ละบ้านก็ไม่เหมือนกัน แต่พี่ทำของพี่เอง เหมือน (เราคนไทยก็ถูกสอนมา) อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย”
ตอนแรกนุ่นแพลนไว้ว่าจะใช้เส้นทางออแพร์เป็นเส้นทางย้ายประเทศ เริ่มที่สวีเดน ต่อเนเธอร์แลนด์ จบที่แคนาดา แต่ในช่วงโควิดที่เธอจำต้องหยุดเป็นออแพร์ เธอก็ได้พบรักกับชายคนหนึ่งที่ต่อมาพัฒนาความสัมพันธ์จนแต่งงาน หลังจากนั้นนุ่นกลับเมืองไทยไปทำวีซ่าประเภทผู้อยู่อาศัย (Resident Visa) เพื่อบินกลับมาอยู่สวีเดน
ปัจจุบัน อดีตออแพร์คนนี้กลายมาเป็นคุณแม่ของลูก 2 คน เธอสลับฝั่งมาเป็นโฮสต์แฟมิลี่ ครอบครัวนี้มีออแพร์ไทยมาแล้ว 4 คน เพราะอยากให้ลูกได้ภาษาไทย โดยนุ่นหาออแพร์ด้วยตนเองผ่านโซเชียลมีเดีย ทุกครั้งที่เธอโพสต์รับสมัครก็จะมีคนส่งใบสมัครเข้ามาเป็นจำนวนมาก
นุ่นในฐานะอดีตออแพร์บอกด้วยว่า เมื่อเธอชั่งน้ำหนักดูแล้วจากทุกเรื่องที่พบเจอ แม้มีวันที่เครียดบ้าง ท้อบ้างก็ยังรู้สึกว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่ดี เปิดโอกาสให้เด็กไทยมายุโรปได้ในราคาไม่แพง การสมัครด้วยตนเองก็ไม่ได้ซับซ้อนมาก ใครที่อยากมาก็ขอให้ได้มา
อดีตออแพร์ 3 ประเทศผู้ผันตัวทำธุรกิจรับให้คำปรึกษา
อดีตออแพร์อีกคนหนึ่งที่ผู้สื่อข่าวได้พูดคุยคือ ภรกมล สารเถื่อนแก้ว หรือ บี๋ ผู้เคยเป็นออแพร์ในสหรัฐฯ สวีเดน และเนเธอร์แลนด์
สมัยที่ยังเป็นออแพร์ บี๋เป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์จากการทำคลิปบอกเล่าเรื่องราวทางช่องยูทูบBiee Au Pair คอนเทนต์ของเธอจึงจัดว่า ‘ทำถึง’ จึงมีคนทักเข้ามาปรึกษามากมาย
ปัจจุบันบี๋แต่งงานและอาศัยอยู่กับสามีที่ประเทศสกอตแลนด์จึงหันมาบอกเล่าเรื่องราวผ่านเพจBiee In Scotland แทน โดยเธอได้แปรเปลี่ยนประสบการณ์วงในเรื่องออแพร์ที่สั่งสมมาให้กลายเป็นธุรกิจเล็กๆ คือ บริการให้คำปรึกษาผู้ที่ต้องการไปเป็นออแพร์
บี๋เล่าว่า หลังจากเรียนจบการศึกษาเอกภาษาอังกฤษเพื่อธุรกิจ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ตอนนั้นเธอในวัย 23 ปี หรือเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ตัดสินใจไปเป็นออแพร์ที่สหรัฐฯ เพราะต้องการพัฒนาสกิลภาษาอังกฤษ“ตอนปีสี่ฝึกงานโรงแรม แล้วฟังลูกค้าต่างชาติพูดไม่รู้เรื่องเลยทั้งๆ ที่เป็นประโยคง่ายๆ จึงตั้งใจจะไปฝึกภาษาแล้วกลับมาทำงานที่ไทย”
“ชีวิตที่ไทยทำงานหนัก ที่บ้านไม่ค่อยมีเงิน (การเป็นออแพร์ที่สหรัฐฯ) คือชีวิตที่ไม่ต้องคิดอะไร ได้เงินเป็นรายอาทิตย์ ประมาณ 6,000 บาท ตอนนั้นก็ใช้เงินแบบไม่คิดอะไร ชีวิตสนุก ไปเที่ยว”เดิมเธอคิดว่าจะไปแค่ปีเดียว แต่สนุกจึงเลือกเส้นทางนี้ต่อเลย
บี๋เล่าว่าถึงเธอไม่ทำธุรกิจ คนก็ทักมาปรึกษาอยู่ดี โดยเธอเริ่มต้นธุรกิจนี้ตอนช่วงปี 2565 หลังจบโครงการออแพร์ประเทศเนเธอร์แลนด์แล้วก็กลับเมืองไทย ได้มีเวลาว่าง จึงเริ่มเขียนข้อมูลออแพร์แต่ละประเทศลงเว็บไซต์
ก่อนหน้านั้นหนึ่งปี ซึ่งช่วงนั้นตรงกับช่วงที่มีกระแส ‘ย้ายประเทศกันเถอะ’ บูมในหมู่คนรุ่นใหม่ เธอให้คำปรึกษาแบบฟรีๆ เพื่อแลกกับข้อมูลรีวิวจากลูกค้า
ธุรกิจของเธอมีชื่อว่า ‘Biee Au Pair’ คิดค่าบริการ 3,499 บาท ซึ่ง“ค่อนข้างถูกมากในการไปต่างประเทศสำหรับคนๆ หนึ่ง” โดยเป็นระบบสมาชิกตลอดชีพ จ่ายครั้งเดียวแล้วปรึกษาได้ตลอด ปัจจุบันมีสมาชิกกว่าพันคน
“(คนที่เข้ามาใช้บริการเรา) ส่วนใหญ่เป็นเด็ก ม.ปลายกับเด็กจบใหม่ เด็ก ม.ปลายค่อนข้างจะเยอะ แต่พวกเขามักไม่ถูกเลือก เนื่องจากโฮสต์ก็อยากได้คนที่ดูน่าเชื่อถือว่าจะมาเลี้ยงลูกเขาได้จริงๆ ทำให้คนจบปริญญาตรีได้ไปเยอะกว่า”
ในเว็บไซต์ Biee Au Pair ระบุถึงบริการที่ลูกค้าจะได้รับ อาทิ ช่วยเช็ก-เลือกรูปภาพในการสมัคร เขียนโปรไฟล์ให้น่าสนใจในการหาโฮสต์แฟมิลี่ ช่วยทำเรซูเม่ (CV / Resume) เขียนจดหมายแรงบันดาลใจในการเป็นออแพร์ ช่วยทำสคริปต์วิดีโอการแนะนำตัว ติวก่อนสัมภาษณ์กับโฮสต์แฟมิลี่ ไปจนถึงการตรวจสอบเอกสารก่อนยื่นวีซ่า ปรึกษาได้ตลอดตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงได้วีซ่า
ก่อนที่จะมาลงตัวที่ราคาสามพันกว่าและระบบสมาชิกตลอดชีพ เธอเคยตั้งราคาถูกกว่านี้ และเคยมีระบบสมาชิกวีไอพีที่ให้แบ่งจ่ายค่าบริการเป็นงวดๆ ได้ ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอเข้าใจดีว่าคนที่ไปออแพร์ส่วนมากก็มีพื้นเพคล้ายๆ กับเธอที่ไม่ได้มีต้นทุนชีวิตมากเท่าไร อย่างไรก็ตาม ความยืดหยุ่นของเธอก็กลายเป็นช่องว่างให้ลูกค้าบางคนตุกติก เธอจึงเลิกระบบนี้ไป
หน้าที่ของเอเจนซี-ปัญหาที่พบบ่อยหน้างาน
ผู้สื่อข่าวติดต่อไปยังเอเจนซีไม่กี่แห่งที่ระบุในเว็บไซต์ว่ามีโครงการออแพร์ที่ประเทศสวีเดนด้วย เพื่อสอบถามถึงหน้าที่ของเอเจนซี และเทรนด์ในภาพรวมของการไปเป็นออแพร์ในหมู่เด็กยุคนี้
Beloved Thai Aupair เป็นเอเจนซีแห่งเดียวที่ตอบรับการให้สัมภาษณ์ โดย แอง ผู้เป็นเจ้าหน้าที่จาก Beloved Thai Aupair แสดงความรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเราสนใจประเทศสวีเดน เธอบอกว่าเป็นประเทศที่คนไปน้อยมาก มีเพียง 1-2 ต่อปีเท่านั้น ทางฝั่งเอเจนซีแทบจะไม่โปรโมตเลย
แองเล่าถึงเทรนด์ในภาพรวมว่า เมื่อผ่านพ้นกระแสคนรุ่นใหม่ย้ายประเทศ คนไปออแพร์ผ่านเอเจนซีก็ตกฮวบ
“ช่วงกระแสย้ายประเทศ (ยอดสมัคร) โหดมาก ใบสมัครถล่ม ข้อความเข้ามาทางเพจ 20,000 ข้อความต่อสัปดาห์…(ช่วงนั้นเอเจนซีเรา) ส่งไปอเมริกาได้เดือนละ 30 กว่าคน”
ในช่วงหลังๆ มานี้ ขนาดสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นปลายทางยอดนิยมอันดับหนึ่งก็มีเพียง 1-2 คนต่อเดือน“เด็กยุคนี้ไม่ค่อยสนใจงานออแพร์ ยอดคนสมัครฮวบลงไปประมาณ 70% หลังจากโควิด-19 ระบาด”
เมื่อถามว่าหน้าที่ของเอเจนซีมีอะไรบ้าง แองอธิบายว่ามีตั้งแต่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการแก่ผู้ที่สนใจไปเป็นออแพร์ คัดกรองคุณสมบัติผู้สมัครว่าเข้าเกณฑ์หรือไม่ ช่วยกรอกใบสมัคร ทำรูปถ่าย-คลิปวิดีโอแนะนำตัว ช่วยผู้สมัครหาแง่มุมนำเสนอตัวเองแก่โฮสต์แฟมิลี่ และช่วยสกรีนเบื้องต้น
“ส่วนใหญ่ 60% (น้องๆ ที่เข้ามาหาเรา) จะแบล๊ง (ไม่รู้ข้อมูลอะไรมาก่อน) เลย”
“(บางคน) ใจอยากไป แต่เอเจนซี่จะจะช่วยดูว่าโฮสต์เหมาะกับน้องหรือเปล่า โฮสต์เป็นมังสวิรัติ เราไม่ได้เป็น เราจะอยู่ได้ไหม”
แองเล่าว่าเอเจนซี BTA ทำข้อตกลงกับเอเจนซีประเทศปลายทางเอาไว้ว่าผู้สมัครที่ผ่านเราจะต้องมีประสบการณ์การเลี้ยงเด็กมาบ้าง ถ้าไปเป็นออแพร์ในยุโรปก็จะประมาณ 50-200 ชั่วโมง
โดยมีค่าใช้จ่ายแบ่งเป็น ค่าดำเนินการของเอเจนซี่ 26,000 บาท และ ค่าวีซ่าประมาณ 3,500 ที่ออแพร์ต้องจ่ายเอง
ในระหว่างโครงการ เอเจนซีมีการช่วยเหลือออแพร์เบื้องต้น กรณีที่พบบ่อยคือมีปัญหากับโฮสต์แฟมิลี่ แต่ไม่กล้าคุยตรงๆ กับโฮสต์ เหตุผลส่วนหนึ่งคือเรื่องกำแพงภาษา ทำให้หน้างานเลือกที่จะเงียบ แต่มาขอเปลี่ยนโฮสต์
โดยเอเจนซีจะแนะนำให้ออแพร์ลองพูดคุยกับโฮสต์เองก่อน การหาโฮสต์ใหม่ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ว่า“โฮสต์ใหม่ 90% จะขอโทรคุยกับโฮสต์เดิม”
แองบอกว่าปัญหาที่ออแพร์ไทยในโซนยุโรปเจอแล้วจะรู้สึกว่าอยู่ไม่ได้ คือการทำงานเกินชั่วโมง ส่วนใหญ่โฮสกับออแพร์จะตกลงกันเรื่องจำนวนชั่วโมง แต่เมื่อไปเจอหน้างานจริงถึงจะรู้ว่าการคุยแค่นั้นมันหลวมเกินไป
“ช่วงที่โรงเรียนเปิดเทอมกับปิดเทอม ชั่วโมงการทำงานก็จะต่างกัน ตอนคุย (กันตอนแรก) มันเป็นการแจ้งคร่าวๆ แต่ไม่ได้ระบุว่ากี่โมงถึงกี่โมง”
ในกรณีของสวีเดน กฎหมายกำหนดให้ออแพร์ทำงานสัปดาห์ละไม่เกิน 25 ชั่วโมง แต่ในทางปฏิบัติก็มีความยืดหยุ่น อยู่ที่จะตกลงกัน เช่น ในช่วงปกติอาจทำแค่ 20 ชม. แต่ช่วงซัมเมอร์ที่เด็กปิดเทอม อาจจะต้องทำถึง 30 ชั่วโมง
สัญญาจ้างงานระหว่างโฮสต์กับออแพร์มีแบบฟอร์มตามกฎของรัฐบาลสวีเดน“แต่ทางรัฐบาลไม่ได้ระบุวันหยุด”จึงเป็นเรื่องที่อาศัยการตกลงกันเองเช่นเดียวกัน
เมื่อถามว่าการสมัครออแพร์ผ่านเอเจนซีจะช่วยให้ปลอดภัยกว่าขนาดไหน เมื่อเทียบกับการสมัครไปเองทุกขั้นตอนด้วยตนเอง แองตอบว่าเท่าที่ทำงานด้านนี้มา เธอก็ยังไม่เคยได้ยินปัญหาที่ร้ายแรง
จากการที่ผู้สื่อข่าวสังเกตจากบทสนทนาในโลกออนไลน์ของออแพร์ไทยในยุโรป พบว่ามีคำถามเกี่ยวกับการทำงานเกินเวลาอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นคำถามว่าโฮสต์ควรต้องจ่ายค่าล่วงเวลาชั่วโมงละเท่าไหร่ บ้างมีคนตอบว่ามีเรทราคาอยู่ แต่ก็ขึ้นอยู่กับการตกลงกับโฮสต์เป็นหลัก อีกคำถามหนึ่งก็คือ ค่าล่วงเวลาจำเป็นต้องถูกระบุตั้งแต่ขั้นตอนการทำสัญญางานด้วยหรือไม่ หรือเป็นการตกลงกันปากเปล่าก็พอ ซึ่งก็ดูเหมือนจะไม่มีกฎที่แน่ชัดเพื่อคลายความสงสัยเหล่านี้
ด้วยลักษณะของงานที่เป็นงานในบ้าน อยู่กันแบบครอบครัวใต้ชายคาเดียวกัน มีความผูกพันใกล้ชิดกับเด็กๆ ที่ดูแล อีกทั้งเงื่อนไขของโครงการที่ทำให้ออแพร์จำต้องพึ่งพาโฮสต์อยู่มาก ความสัมพันธ์ทางอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันนี้ทำให้การตกลงกันในเรื่องเงินๆ ทองๆ หรือขอบเขตของงานดูจะทำได้อย่างกระอักกระอ่วน อย่างเช่น ถ้าโฮสต์พ่อแม่กลับดึก ออแพร์จะปล่อยน้องไว้แล้วไปพักผ่อนเลยได้หรือไม่ เชื่อว่าในความเป็นมนุษย์คงไม่น่าจะมีใครสบายใจที่จะทิ้งเด็กเล็กๆ ไว้ลำพัง หรือ ถ้าเราอาศัยอยู่ในบ้านของใครสักคนแล้วเขาขอให้ช่วยงานอื่นๆ เพิ่มเติมในเวลาที่เราควรได้พักผ่อน แม้ว่าใจเราไม่อยาก แต่เราจะปฏิเสธแบบเต็มปากเต็มคำได้หรือ โดยธรรมชาติของคนไทยมักขี้เกรงใจอยู่แล้ว หากปฏิเสธก็อาจส่งผลต่อความรู้สึกหรือความสัมพันธ์ในบ้านก็ได้ จึงกลายเป็นว่าออแพร์ไม่ว่าจะสมัครไปเองหรือไปกับเอเจนซี่ก็ต้อง ‘เสี่ยงดวง’ เอาเองว่าจะได้เจอโฮสต์ที่แฟร์หรือไม่
เทียบความต่าง ยุโรป-อเมริกา ข้อเสนอคุ้มครองออแพร์ควรเป็นแบบไหน
บี๋ อดีตออแพร์ผู้มีประสบการณ์ในสามประเทศ เล่าถึงความแตกต่างหลักๆ ของฝั่งยุโรปและอเมริกา คือเรื่องตารางงานและวัฒนธรรม
“เคยไปอเมริกามา 2 ปี ระบบดูแลออแพร์ดี กฎแฟร์ โฮสต์ดูแลเหมือนเรามาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน โฮสพาไปเปิดธนาคาร”
“สวีเดน (สมัคร) ไปเอง ค่อนข้างโชคดีที่เจอบ้านดี แต่ฝั่งยุโรปแตกต่างตรงที่เราต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ไปเปิดบัญชีธนาคารเอง ตารางงานไม่มีตัวกลางมาคุยให้เรา มันยืดหยุ่น”
บี๋บอกว่าแต่ละบ้านมีข้อดีข้อเสียต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะชั่งน้ำหนัก ที่สหรัฐฯ บี๋มีช่วงเวลาทำงานที่แน่นอนคือ 7.00-17.00 น. ไม่เกิน 45 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
ส่วนบ้านที่สวีเดนแตกต่างกันเป็นอย่างมาก เธอทำงานช่วง 15.30-20.30 น. รวมไม่เกิน 25 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยจะมีช่วงเช้าที่เธอได้ออกไปเรียนภาษาสวีดิช
โฮสต์ของเธอที่สวีเดนเป็นเจ้าของธุรกิจที่มีลูกสองคน เปิดบริษัทเอง ไลฟ์สไตล์เขายืดหยุ่นมาก เช่นเดียวกับตารางงานของเธอที่จะเปลี่ยนทุกอาทิตย์ แม้โฮสต์แจ้งล่วงหน้าก่อน แต่มันก็ทำให้เธอวางแพลนไปเที่ยวยาวๆ ได้ลำบาก
อย่างไรก็ตาม ข้อดีของบ้านนี้คือ โฮสต์มีอพาร์ทเมนต์ส่วนตัวให้กับออแพร์ ตั้งอยู่ข้างๆ แยกออกมาจากตัวบ้าน
ขณะที่ แอง ผู้ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่จาก Beloved Thai Au Pair ที่ในอดีตเคยเป็นออแพร์สหรัฐฯ มาก่อน บอกกับผู้สื่อข่าวว่าสิ่งที่สหรัฐฯ กับยุโรปมองต่างกันคือความคาดหวังต่อออแพร์ในเรื่องการทำงานบ้าน
“อเมริกามีกฎว่าออแพร์ทำเฉพาะงานบ้านที่เกี่ยวกับเด็ก แต่โฮสต์ยุโรปคาดหวังให้ออแพร์ทำงานบ้านของทั้งบ้าน”
เมื่อถามว่ารัฐบาลของประเทศปลายทางควรมีนโยบายคุ้มครองออแพร์อย่างไรบ้าง
แอง ผู้ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่จาก Beloved Thai Au Pair กล่าวว่าโมเดลแบบที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาทำถือเป็นตัวอย่างที่ดี สหรัฐฯ อนุญาตให้ออแพร์ไปผ่านเอเจนซีที่ขึ้นทะเบียนเท่านั้น“มี au pair meeting เดือนละครั้ง ให้ออแพร์แต่ละชาติในละแวกบ้านมาเจอกัน”รวมถึงมีผู้ประสานงานในระดับท้องถิ่น (Local Coordinator: LCC) อยู่ในรัศมีที่จะให้ความช่วยเหลือออแพร์ได้
ทางด้านบี๋ อดีตออแพร์สามประเทศที่ผันตัวมาทำธุรกิจให้คำปรึกษา กล่าวว่าที่เดนมาร์กมีศูนย์รับเรื่องออแพร์ที่เรียกว่า FOA แต่ในกรณีของสวีเดน เมื่อออแพร์เจอปัญหาก็ไม่รู้ว่าต้องรายงานที่ไหน เพราะว่าไม่มีหน่วยงานที่ดูแลออแพร์โดยตรง ทำให้เวลาที่ออแพร์เจอปัญหาก็จะเป็นการแก้โดยอาศัยแรงของปัจเจกบุคคล เช่น บางทีออแพร์ Rematch (เปลี่ยนครอบครัว) แล้วโฮสต์เก่าไม่จ่ายเงิน ออแพร์ก็ไม่รู้ว่าจะไปร้องเรียนที่ไหน กลายเป็นว่าโฮสต์ใหม่ก็ต้องมาช่วยพูดกับโฮสต์เก่า
ผู้สื่อข่าวติดต่อสถานเอกอัครราชทูตสวีเดน ณ กรุงเทพ เพื่อขอความคิดเห็นในเรื่องนี้ แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ
ผู้สื่อข่าวติดต่อสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงสตอกโฮลม์ เพื่อขอความคิดเห็นในเรื่องนี้ โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายกงสุลตอบกลับมาเพื่อสอบถามถึงประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ จากการสืบค้นของประชาไทพบว่าสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโคเปนเฮเกน มีการจัดอบรมเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในประเทศเดนมาร์กให้กับออแพร์ ในปี2567 และ2568
รายงานชิ้นนี้ผลิตโดยนักข่าวที่เข้าร่วมโครงการ UNDP Media Fellowship on Sustainable Development ในหัวข้อ Business and Human Rights